ผู้ติดตาม

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557



เบาหวิว-หนักอึ้ง



เจาะลูกโป่ง



มาแข่งใช้เข็มเจาะลูกโป่งกันดีกว่า...

กติกา คือ 1. คนที่ใช้เข็มหรือเข็มหมุดเจาะลูกโป่ง แล้วลูกโป่งไม่แตก  คนนั้นเป็นผู้ชนะ   หรือ

2. ถ้ามีผู้ที่เจาะลูกโป่งไม่แตกมากกว่า 1 คน ให้ใช้เข็มเล่มใหม่เจาะลูกโป่งไปเรื่อยๆ จนกว่าลูกโป่งจะแตก

จากนั้นให้นับจำนวนเข็มที่ใช้เจาะลูกโป่งไม่แตก โดยไม่นับรวมเข็มเล่มสุดท้ายที่ทำให้ลูกโป่งแตก

ผู้ที่ใช้เข็มเจาะลูกโป่งไม่แตกได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ http://mcpswis.mcp.ac.th/html_edu/cgi-bin/mcp/main_php/print_informed.php?id_count_inform=12553

การทดลองเทียนไขดูดนํ้า

เทียนไขดูดนํ้า





อุปกรณ์การทดลอง

1.เทียนไข                            2.จาน/ถาด           3.ขวดแก้วหรือแก้วที่มีความสูงกว่าเทียน

4.ไม้ขีดไฟหรือไฟแช็ก          5.สีผสมอาหารเพื่อให้เห็นผลการทดลองได้ชัดเจนขึ้น

วิธีการทดลอง

1.ให้หยดสีผสมอาหารลงในน้ำที่เตรียมไว้
2.ให้เทน้ำที่ผสมสีไว้แล้วลงในจานที่เตรียมไว้
3.นำเทียนไปวางบริเวณกึ่งกลางของจานแล้วจุดไฟ
4.นำแก้วครอบเทียนไว้ รอสักครู่ไฟจะดับสังเกตว่าน้ำที่อยู่รอบๆแก้วจะค่อยๆ ไหลเข้ามาอยู่ในแก้ว
 

สรุปผลการทดลอง
     สาเหตุที่น้ำด้านภายนอกสามารถเข้าไปอยู่ภายในแก้วได้ก็เพราะเมื่อออกซิเจนที่มีภายในแก้วถูกใช้ในการเผาไหม้จนหมด(เทียนดับ) จึงทำให้ความดันอากาศภายในแก้วมีน้อยกว่าภายนอกแก้ว   ความดันอากาศภายนอกจึงดันให้น้ำนอกแก้วไหลเข้าไปในแก้วที่มีความดันอากาศน้อยกว่านั้นเอง








นํ้ายาเรืองแสงงงงง..
นั้ายาเรืองแสง
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม


-ปากกาเน้นข้อความที่เป็นแบบเรืองแสงเลือกสีแสบๆเลยก็ดีครับ

-ขวดหรือภาชนะเอาไว้ใส่น้ำเรืองแสงของเรา

-คีมเอาไว้ดึงที่ปิดตูดของปากกา

-ถุงยาง เอ๊ย...ถุงมือยางนะครับ ใส่เพื่อกันสีของมันเปื้อนมือ
หรือใครจะใช้ถุงยางสวมนิ้วก็ได้นะครับไม่ว่ากัน
-หลอดไฟ UV อันนี้หาซื้อได้ตามร้านของแต่คอมฯ jedi TK ฯลฯ

-สุดท้ายเวลาว่างๆ ซักแป๊บนึง อันนี้ต้องหากันเอาเองนะครับ

น่าลองงไหม..

ลาวา....


ทึ่งไหมมละนั้นน









เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?น้ำหนักลด

ไม่ว่าเราจะมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใดก็ตาม น้ำหนักของเราจะสามารถลดลงได้ 300 กรัม ทุกวันในขณะที่เรานอนหลับแต่อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ เพราะทันทีที่ตื่นขึ้นมา น้ำหนักของเราก็จะเท่าเดิม








เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ น้ำในร่างกาย

น้อง ๆ คิดว่า ร่างกายของเรามีสถานะใดตามหลักวิทยาศาสตร์ หลายคนอาจจะคิดว่า มีสถานะเป็นของแข็ง แต่น้อง ๆ รู้หรือไม่ว่าร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ด้วยเหตุนี้ตลอดชีวิตของคน 1 คนจึงต้องดื่มน้ำเป็นจำนวนมากถึง 70,000 ลิตร



เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ฟันปลา


เชื่อกันว่าเมื่อประมาณ 1 ล้านปีที่แล้ว ฟันของมนุษย์มีลักษณะคล้ายกับฟันปลาเพราะมีการค้นพบฟันลักษณะเดียวกันกับของมนุษย์อยู่ในกรามของปลาฉลามยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้น ฟันของมนุษย์และปลาฉลามจึงมีโครงสร้างพื้นฐานเหมือนกัน แต่ฟันของมนุษย์ได้พัฒนาจนมีรูปร่างเหมือนในปัจจุบัน

ปลาเปคู (Pacu) ปลาฟันคน >?http://teen.mthai.com/variety/59011.html

ตาแหลมคม

เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ตาแหลมคม

ตาของเหยี่ยวสามารถมองเห็นแมลงวันที่อยู่ในระยะครึ่งไมล์ได้ ส่วนเสือดาวก็สามารถมองเห็นคนกะพริบตาที่ระยะห่าง 100 หลาได้ ตาของคนก็มีความพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแยกแยะความแตกต่างของสีได้มากถึง 17,000 สี

7. ตาที่สาม

เชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์มีสามตา ตาที่สามนี้ก็คือต่อมไพเนียลซึ่งอยู่ด้านหลังของกะโหลกศีรษะ ภายในต่อมมีสารเคมีที่มีชื่อว่าเซโรโตนินอยู่เป็นจำนวนมาก เชื่อกันว่า สารชนิดนี้ช่วยส่งผลให้มนุษย์มีการคิดอย่างสมเหตุสมผล นักวิทยาศาสตร์จึงเปรียบต่อมนี้ว่าเป็นตาที่สามของมนุษย์

8. ฮัดเช้ย!

เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาทำให้จมูกของเราเกิดการระคายเคือง เราจะจามออกมาโดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่เราจามจะมีน้ำลายฟุ้งกระจายออกมาถึง 100,000 หยด ด้วยอัตราเร็ว 152 ฟุตต่อวินาที

9. ริมฝีปาก

เคยสงสัยกันหรือไม่ครับว่าทำไมริมฝีปากของเราจึงมีสีแดงมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผิวหนังบริเวณริมฝีปากบางกว่าส่วนอื่น ๆ นั่นเอง จึงทำให้สามารถมองเห็นสีของเลือดใต้ผิวหนังได้

10. ยิ้มแย้ม

ร่างกายของเราประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ 650 มัด หากเราหน้าบึ้งจะต้องใช้กล้ามเนื้อประมาณ 400 มัด ในขณะที่การยิ้มใช้กล้ามเนื้อ 15 มัด เท่านั้น และพลังงานที่ใช้ก็น้อยกว่าการขมวดคิ้ว 1 ครั้งเสียอีก เชื่อกันว่าการขมวดคิ้ว 200,000 ครั้ง ทำให้เกิดรอยตีนกา 1 รอย

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วิทยาศาสตร์ในหนังผี วิธีสร้างเรื่องให้ "หลอน"

            กุ๊ก กุ๊ก กู๋~~ ทักทายกันแบบผีๆ ก็น่าแปลกว่าคนเราต่อให้กลัวผีมากขนาดไหน หนังผีก็ยังขายดี มีคนดูตลอด(ยกเว้นคนที่กลัวผีจัดๆ หนังผีก็ไม่ยอมดู) นั่นก็เป็นเพราะว่าประสบการณ์เรื่องผีไม่ได้มีกันทุกคน ดังนั้นหนังผีที่มีพล็อตเรื่องสนุก จึงเป็นเรื่องท้าทายและน่าติดตาม
วิทยาศาสตร์ในหนังผี : วิธีสร้างเรื่องให้ "หลอน"

            พูดถึงหนังผีแล้ว จะไม่พูดถึงสารพัดเทคนิคในการสร้างหนังผีก็ไม่ได้ เพราะเทคนิคเหล่านี้เป็นตัวสำคัญทำให้คนดูเกิดความกลัวไปกับภาพที่เห็น แม้ว่าเรื่องผีวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์สามารถสร้างหนังผีให้น่ากลัวขึ้นมาได้ ไปดูกันว่าในแวดวงภาพยนตร์ ใช้ประโยชน์อะไรจากวิทยาศาสตร์มากระตุกต่อมสยองกันบ้าง
  surprise  เอฟเฟกต์สุดหลอน
           สิ่งที่จะพลาดไม่ได้ในหนังสยองขวัญ ก็คือ "ผี"  เบื้องหลังกว่าจะสร้าง "ผี" ขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว เพราะต้องผ่านทั้งเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ เพื่อให้สมจริง ที่สำคัญคือ ภาพน่ากลัวที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้ติดตาคนดูอย่างดีเลยค่ะ

           สำหรับตัวละครผีทั่วไปที่เห็นได้บ่อยเน้นเทคนิคการแต่งหน้า โดยจะใช้แป้งหรือเครื่องสำอางพิเศษเข้ามาช่วย แต่ถ้ามีเอฟเฟต์เพิ่มเติม อย่างแผลเป็น ปุ่ม ตุ่ม หนอง ทั้งหลายแหล่ ก็จะต้องตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มรายละเอียด เช่น ใช้สีผสมอาหารหรือสารสีแดงผสมกับน้ำเพื่อทำเลือด การใช้กาวกับกระดาษทิชชู่เพื่อทำแผลเป็น แผลฟกช้ำ  เป็นต้น

วิทยาศาสตร์ในหนังผี : วิธีสร้างเรื่องให้ "หลอน"

           นอกจากเรื่องเมคอัพแล้ว หนังผีหรือหนังสยองขวัญหลายๆ เรื่องได้ใช้เทคโนโลยีอื่นๆ เข้ามาช่วย เช่นการสร้างหุ่นจำลอง มีทั้งแบบหุ่นนิ่งและหุ่นเคลื่อนไหว ในส่วนนี้ก็ต้องอาศัยความรู้เรื่องกายวิภาคศาสตร์และฝีมือล้วนๆ เลยจ้า สำหรับบางเรื่องก็ต้องอาศัยกลไกทางวิศวกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พี่มิ้นท์มีตัวอย่างการสร้างหุ่นจำลองขึ้นมาใช้ในภาพยนตร์สยองขวัญ บอกได้เลยว่ายากและซับซ้อนกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว ไม่รู้ว่าน้องๆ รู้จักตุ๊กตาสุดหลอนตัวนี้มั้ย เจ้า Chucky ไปดูขั้นตอนการออกแบบที่กว่าจะออกมาให้ได้ชมกัน สุดยอดมากๆCli
  surprise  เสียงบิ๊วอารมณ์หลอน
          ลำพังเห็นแค่ภาพก็อาจไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าเพิ่มซาวน์หลอนๆ เข้าไป จะช่วยเพิ่มความน่ากลัวอีกเท่าตัวนึง น้องๆ ลองสังเกตหนังสยองขวัญดูสิคะ แทบไม่มีเรื่องไหนไม่ใช้เสียงประกอบเลย ฉากหลักๆ ที่จะใช้เสียงประกอบมักจะเป็นฉากที่ตื่นเต้น บีบขั้วหัวใจ ลุ้นว่าจะเจอผีหรือเปล่า เช่น ฉากวิ่งหนี ฉากสงสัย ฉากที่ต้องเปิดตู้ เปิดประตู  หรือฉากที่ตัวละครต้องหันหน้า ฯลฯ ขอบอกว่าเจอฉากพวกนี้ผสมกับดนตรีทุ้มๆ รัวๆ ทีไร นิ้วทั้งสิบต้องยกขึ้นมาปิดตาทันที (ปิดตาดูหนังผี เปลืองตังค์สุดๆ)

          ดนตรีในภาพยนตร์ประเภทนี้มักจะเลือกใช้เสียงต่ำมากกว่าเสียงสูงค่ะ เพราะเสียงทุ้มๆ ต่ำๆ จะให้ความรู้สึกหดหู่ ตื่นเต้น หม่นหมอง คนดูจะลุ้นตามไปด้วย เรื่องจังหวะของเพลงก็มีผลเหมือนกัน จังหวะช้า-เร็ว ก็สร้างความน่ากลัวแตกต่างกันไป

          และที่สำคัญที่สุด ต้องยกให้เรื่องของระบบเสียง หากเราดูหนังผีที่บ้านจะไม่ค่อยน่ากลัวเท่าดูที่โรงภาพยนตร์ค่ะ เพราะทั้งภาพและเสียงของโรงภาพยนตร์จะกระหึ่ม ชัดแจ๋ว เรื่องไหนที่ทำเอฟเฟกต์มาดีๆ หลอนๆ ดูในโรงภาพยนตร์ทีได้เสียวสันหลังวาบแน่นอน

 surprise การใช้สถานที่หรือมุมกล้องแคบๆ
       การนำเสนอภาพแคบๆ จะเพิ่มความรู้สึกอึดอัดให้กับคนดู กลัวว่าหันซ้ายไปจะเจออะไรมั้ย หันขวาไปผีต้องออกมาแน่ๆ เป็นต้น ในส่วนนี้เล่นกับจิตวิทยาเล็กๆ น้อยๆ ด้วยมุมกล้องที่นำเสนอภาพแคบๆ อาจทำให้ตัวละครดูกำลังถูกคุกคามและรู้สึกไม่ปลอดภัยนั่นเอง ดังนั้นในฐานะคนดูก็ได้แต่ลุ้นว่าผีจะออกมาตอนไหน
วิทยาศาสตร์ในหนังผี : วิธีสร้างเรื่องให้ "หลอน"
  surprise แสง สี  เพิ่มขีดความกลัว
          หุ่นผีก็มีแล้ว เสียงก็มีแล้ว อีกองค์ประกอบที่ช่วยเพิ่มความหลอนไปอีกขั้นก็คือ แสงและโทนสีของเรื่อง ในภาพยนตร์สยองขวัญส่วนใหญ่นิยมใช้โทนสีดำ สีขาว หรือสีเข้มๆ เช่น น้ำเงิน น้ำตาล สีเหล่านี้เป็นสีเรียบๆ แต่มีพลังค่ะ โดยเฉพาะสีน้ำเงินจะให้ความรู้สึกเยือกเย็น สงบนิ่ง ส่วนสีดำก็เป็นสัญลักษณ์แห่งความตายและแสดงถึงเวลากลางคืน ที่สามารถเชื่อมโยงถึงเรื่องสยองขวัญได้เป็นอย่างดี

         อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่าเทคนิคที่ใช้ในการสร้างหนังผีส่วนใหญ่จะเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของคนดูทั้งนั้นเลย คือ จะต้องทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ตื่นเต้น และต้องลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วแต่ละคนก็จะมีความกลัวต่อหนัง 1 เรื่องแตกต่างกันค่ะ เพราะมนุษย์แต่ละคนมีประสบการณ์(และจินตนาการ)แตกต่างกัน พูดง่ายๆ ว่าคนอ่อนไหวมาดูหนังผีก็อาจมีภาพติดตาและความหลอนได้มากกว่าคนที่ไม่กลัวนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนและรูปภาพประกอบจาก
หนังสือวิทยาศาสตร์ฉลาดรู้ เรื่องไขปริศนาสยองขวัญ. บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,
www.fanpop.com,www.coshage.comhttp://atcloud.com/stories/101256
http://tooscarytowatch.blogspot.com/2012/08/best-unknown-horror-movies-of-2000s.html,